การทำ SEO ในช่วงโควิด

ธุรกิจช่วงโควิด ทำไมต้องทำ SEO ด้วยนะ

การทำ SEO ในช่วงโควิด

ในยุคที่เศรษฐกิจถูกโจมตีด้วยผลกระทบจาก Covid-19 อาจทำให้ยอดขายของแต่ละธุรกิจลดน้อยลง แต่ก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ยังคงฮึดสู้ต่อ ด้วยการหากลยุทธ์ที่นำมาใช้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ วิธีที่ได้รับความนิยมและได้ผล คือการทำการตลาดออนไลน์นั่นเองค่ะ

เมื่อกล่าวว่าธุรกิจช่วงโควิดควรทำการตลาดออนไลน์ หลายๆคงอาจจะเข้าใจว่า เศรษฐกิจไม่ดี ยังจะแนะนำให้เสียเงินด้วยการทำการตลาดออนไลนอีกเหรอ? หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความคิดแบบนี้ เราอยากให้คุณทำความเข้าใจใหม่เสียก่อนค่ะ เพราะจริงๆแล้ว คำว่าการตลาดออนไลน์ ไม่ใช่การลงเงินกับโฆษณาทาง Social Media เท่านั้น แค่เราเปิดช่องทางในการซื้อขายผ่านออนไลน์ ก็เรียกว่าทำการตลาดออนไลน์แล้วล่ะ 

อ่านบทความแนะนำการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจโควิด ได้เพิ่มเติมที่นี่ค่ะ

แต่.. ถ้าธุรกิจต้องการทำการตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หรือบน Google และไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายหรือใช้ต้นทุน MarketingGuru ผู้ รับทำ SEO พร้อมบริการและให้คำปรึกษา ขอแนะนำวิธีการ ทำ SEO เลยค่ะ 🙂

การทำ SEO ถือเป็นการทำการตลาดออนไลน์บนเว็บไซต์ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับบน Google ซึ่งส่งผลให้การเข้าถึงเว็บไซต์เพิ่มขึ้นนั่นเองค่ะ แต่ทั้งนี้ การทำ SEO จะต้องใช้เวลา เพื่อให้ Google ได้พิจารณาทั้งเว็บไซต์ของเราและคู่แข่ง เพื่อเลือกไปจัดอันดับอีกครั้งค่ะ

เหตุผลที่ธุรกิจช่วงโควิด ต้องทำ SEO

1.ผู้คนนิยมใช้ Google ในการค้นหาสิ่งต่างๆ

ผู้บริโภคมักจะใช้ Google เป็นเครื่องมือในการค้นหาสิ่งที่ตนสนใจและต้องการ โดยส่วนใหญ่มักจะเลือกเข้าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับแรกๆ ดังนั้น หากธุรกิจหันมาทำ SEO จะเป็นการเพิ่มช่องทางในการขายได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ช่วงโควิดเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในเวลานานอีกด้วย

2.เป็นการตลาดออนไลน์ที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย

ในยุคที่ต้องประหยัดแบบนี้ แน่นอนว่า อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด การเพิ่มการทำ SEO เป็นช่องทางที่ไม่ทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม นอกจากอาจจะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์เช่นกันค่ะ

3.เห็นผลลัพธ์ระยะยาว 

การทำ SEO ไม่ใช่จะใช้ได้กับการตลาดออนไลน์ให้ธุรกิจช่วงโควิดเท่านั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่ยาวนาน หากคอนเทนต์และเว็บไซต์เราได้รับการอัปเดตและใช้วิธีการต่างๆเพื่อรักษาคุณภาพของ SEO ไว้ จะสามารถติดอันดับได้นานเป็นเดือนตลอดจนเป็นปีก็สามารถทำได้ค่ะ

4.เป็นเครื่องมือวัดคุณภาพคอนเทนต์อย่างแท้จริง

จริงอยู่ที่ในปัจจุบัน มีเทคนิคต่างๆมากมายที่นอกเหนือจากการทำคอนเทนต์เพื่อให้ติด SEO แต่อย่าลืมว่า ปัจจัยสำคัญ ก็ยังคงเป็นคอนเทนต์อยู่ดี ต่อให้เว็บไซต์ของคุณมีการปรับปรุงตามวิธีการต่างๆที่ช่วยให้ติด SEO ก็จริง แต่คอนเทนต์ไม่ถูกใจ และไม่ตรงตามความต้องการของผู้ชม ก็ย่อมส่งผลต่อการพิจารณา Google ซึ่งสามารถวัดได้จากพฤติกรรมและจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์นั่นเองค่ะ

การทำ SEO อาจจะไม่ได้เห็นผลได้ในทันที อาจจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3-6 เดือน (อาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้) แต่ผลลัพธ์และประสิทธิภาพ รวมถึงเครดิตที่แบรนด์จะได้รับถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียวค่ะ ด้วยถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดคุณภาพของคอนเทนต์ เว็บไซต์ และส่งผลให้ภาพรวมของแบรนด์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง

การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ถือเป็นทางรอดของธุรกิจ มากกว่าการเลือกจะปิดตัวลง อาจจะต้องปรับเปลี่ยน, เพิ่มเติมวิธีการและกลยุทธ์ในการขาย แต่รับรองค่ะ ว่าผลที่ได้มันหอมหวานสุดๆไปเลยล่ะ 

เมื่ออ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้ว ธุรกิจในช่วงโควิด อยากจะเพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์ด้วยการทำ SEO ทีมงาน MarketingGuru พร้อม รับทำ SEO และให้บริการเต็มที่เลยค่ะ ปรึกษาฟรีนะคะ ทักทายกันเข้ามาได้เลย

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

MG-Blog 3

ทำ SEO รูปภาพ ให้ติดหน้าแรก Google

การทำ SEO เป็นวิธีการตลาดที่เป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจออนไลน์ เพราะไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย แต่อาจจะต้องใช้เทคนิคและเวลาในการที่จะให้ Google พิจารณาทั้งคอนเทนต์และส่วนต่างๆของ Website เพื่อจัดลำดับหน้าการค้นหา หนึ่งในเทคนิคนั้น คือการทำ SEO รูปภาพที่เราต้องขอเคลมว่า หากทราบวิธีการทำ และนำไปปรับใช้แล้ว จะเป็นอีกหนึ่งพลังในการดึงคนเข้าเว็บไซต์ได้อย่างแน่นอน

SEO รูปภาพ คืออะไร ?

การทำ SEO รูปภาพ คือการทำให้รูปภาพของเว็บไซต์ปรากฏบนหน้า 1 ของ Google หรือใน Google Image Search ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมได้อย่างมาก รวมถึงทำให้ Search Engine เข้าใจว่ารูปภาพที่เราใส่บนเว็บของเราคือรูปอะไร อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าอยากคลิกเข้ามาเยี่ยมชม หรือซื้อสินค้าบนเว็บเราได้ง่ายขึ้น

Google มองเห็นรูปภาพบนเว็บไซต์เราได้อย่างไร

Google จะไม่สามารถเห็นรูปของเรา แต่จะเห็นเพียงชื่อไฟล์ หรือ Code ต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการหลังบ้านของภาพ เนั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องพยายามทำให้ Google เข้าใจภาพของเราให้ได้ว่าคือภาพอะไรนั่นเอง 

แล้วเราจะสามารถทำ SEO รูปภาพได้อย่างไร

  1. ภาพใหม่ย่อมดีกว่าซื้อจาก Stock Image

ความแปลกใหม่ย่อมเป็นสิ่งที่หลายๆคนชอบ รวมถึง Google ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กลับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของเราด้วย รวมไปถึงความไม่เหมือนใคร ย่อมมีโอกาสถูกคลิกมากกว่าภาพที่เรามักเห็นจนคุ้นตา

  1. ตั้งชื่อรูปภาพเพื่อสื่อความหมายที่ถูกต้อง

จากที่กล่าวไปข้างต้น ว่า Google จะเข้าใจรูปภาพจากชื่อไฟล์ หรือ Code ต่างๆที่อยู่ด้านหลังของภาพ เราจึงจำเป็นต้องใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์นั้นๆ เพื่อสื่อให้ Google รู้ว่านี่คือภาพอะไร และดึงมาแสดงผลเมื่อมีการค้นหาคำนั้นๆ

โดยหลักในการทำ SEO รูปภาพ หรือการตั้งชื่อรูปภาพนั้น สามารถทำได้ดังนี้

  1. นำ Keyword นั้นมาตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ

*ห้ามตั้งชื่อไฟล์ภาษาไทยเด็ดขาด (เฉพาะ WordPress) เพราะเมื่อเราตั้งภาษาไทย และต้องการ backup เว็บไซต์ผ่าน Plug in ต่างๆ เช่น All-in-one-wp migration ตอนที่เรา Export เว็บพวกรูปภาพมันจะไม่ออกมาด้วย ทำให้เว็บเรารูปเพี้ยน หรือหายไปได้

  1. ใส่ Alt Text เป็น Keyword และเก็บรายละเอียดในส่วนของ Info รูปภาพด้วยคำอธิบาย
    • Title: ชื่อรูปภาพที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรก ก่อนทำการอัปโหลดเข้า WordPress
    • Caption: คำอธิบายใต้รูป ถ้าเราใส่ จะแสดงผลที่หน้าเว็บไซต์ของเราใต้รูปนั้น (สามารถปิดได้นะ)
    • Alt text: เป็นส่วนที่แสดงข้อความ เพื่อบอกว่ารูปนี้คืออะไร สำคัญมากๆเลยนะ เพราะ Google จะอ่านข้อมูลจากตรงนี้แหละ
    • Description: คำอธิบายแบบยาวของรูปนั้น แต่ส่วนนี้จะไม่แสดงหน้าเว็บไซต์ค่ะ

    *สิ่งที่ควรใส่มากที่สุดคือ Alt Text ห้ามพลาดเลยนะ! อย่างที่บอกว่า Google เค้าอ่านจากส่วนนี้ ส่วน info อื่นๆ หากเราใส่ จะทำให้ Google เข้าใจข้อมูลเราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นๆด้วย

  2. ใช้ไฟล์ภาพที่มีรายละเอียดไม่สูงเพราะขนาดของภาพ ส่งผลต่อความเร็วในการโหลด และยิ่ง Google ให้ความสำคัญกับ Mobile Friendly ด้วยแล้ว ข้อนี้คืออีกหนึ่งข้อที่สำคัญ ดังนั้นภาพต้องโหลดไว และแสดงบนมือถือได้อย่างชัดเจนจริงๆแล้ว ขนาดภาพนั้นจะ กว้างxยาว เท่าไรก็ได้ แต่ความละเอียดไม่ควรเกิน 200kb รวมถึงรูปแบบไฟล์ก็ควรเป็น .jpeg และหากเป็นภาพโปร่งใส ก็ควรเป็น .png
  3. ตั้งรูปเพื่อแชร์ไป Social Media ให้ถูกต้องทุกๆช่องทางการตลาดออนไลน์ มีการกำหนดขนาดรูปไม่เหมือนกัน หากเราต้องการเขียนบทความนี้เพื่อแชร์ไปยังแต่ละ Platform ควรเช็คขนาดที่เหมาะสมนะคะ เช่นหากต้องการแชร์ไปยัง Facebook ควรเลือกขนาดหน้าปกเป็น 1200×630 px เป็นต้นซึ่งหากรูปหน้าปก (รูปที่แสดงเมื่อแชร์ลิงก์) ของเราได้สัดส่วน ก็จะเพิ่มอัตราการคลิกเข้าหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้นได้ด้วยนะ
  4. ส่ง XML Image SitemapsSitemap คือไฟล์ที่เกี่ยวกับการจัดระบบเนื้อหาหน้าเว็บไซต์ ที่เราสามารถส่งให้ Google หรือ Search Engine อื่นๆ เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บ เช่น Google Bot สามารถรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และหากเว็บไซต์ของเราเป็นเว็บใหม่ ไม่มี Backlink ขั้นตอนนี้ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยล่ะ  การทำ SEO รูปภาพ ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับหน้าแรก Google มากขึ้น อาจจะไม่ใช่เทคนิคหรือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ให้จำไว้เสมอเลยว่า หากเราทำ เราก็ได้เปรียบคู่แข่งไปแล้วนะคะทุกคนนนน บทความดีไม่พอ เทคนิคต้องแน่นด้วยน้า หรือในช่วงนี้ ใครอยากมีที่ปรึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์ไว้ข้างกาย ทักทายมาหา MarketingGuru ได้น้าาา เรามีบริการการดิจิทัลออนไลน์แบบครบวงจร ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพขึ้นได้แน่นอนค่ะ

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

Line: @marketingguru

E-mail: contact@marketingguru.io

MG-Blog-April-6

UX UI ไม่ใช่คีย์เวิร์ด แล้วเกี่ยวอะไรกับการทำ SEO

กระแสการทำการตลาดออนไลน์ (Online marketing) โดยการทำ SEO ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำ SEO มีหลากหลายปัจจัยที่ Google นำไปพิจารณาจัดลำดับการค้นหา ซึ่งในแต่ละปัจจัยนั้น อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือคอนเทนต์ รวมถึงไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword เลยด้วยซ้ำ เพราะการทำ SEO ถือเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ใช้หลากหลายองค์ประกอบ มากกว่าคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์นั้่นเอง

แล้ว UX Design & UI Design คืออะไร ?

UX หรือ User Experience คือประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ต่อการใช้งานและการเข้าถึง หรือที่เรียกว่า ความง่าย-ยาก ต่อการเข้าถึง Landing page ในเว็บไซต์  เช่น ความสวยงามของหน้าเว็บไซต์, การใช้งานสะดวก หรือการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วของหน้าเว็บนั้นๆ เป็นต้น

UI หรือ User Interface Design คือส่วนของการออกแบบ เช่น แพลตฟอร์ม, เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน ซึ่งควรสร้างออกมาให้ตอบโจทย์กับการใช้งานของ User ทั้งเรื่องของดีไซน์และความสะดวกในการใช้งาน

สรุปความสัมพันธ์ของ 2 ตัวนี้ คือ..

UI จะทำให้เกิด UX นั่นเอง เมื่อมีการออกแบบแพลตฟอร์มใดก็ตามออกมา (UI) จะต้องมีผู้ใช้งาน และเกิดประสบการณ์และความรู้สึกในการทำงานนั่นเอง (UX)

โครงสร้างของ UI Design ที่ส่งผลต่อ UX Design มีอะไรบ้าง ? 

– Visual Design: ความสวยงามของการออกแบบในแต่ละแพลตฟอร์ม

– Usability: การใช้งานง่าย สะดวก ข้อมูลและฟังก์ชันต่างๆชัดเจน

– Interactive Design: ตอบสนองได้ดีและรวดเร็ว ครอบคลุมทุกอุปกรณ์และระบบปฏบัติการ

– Accessibility:เข้าถึงง่าย การใช้งานไม่ซับซ้อน

โดยโครงสร้างเหล่านี้ จะส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ให้รู้สึกสนใจ และนำไปสู่การแนะนำผู้อื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าประทับใจในการเข้าชมนั่นเอง

แล้วเรื่อง UX Design เกี่ยวอะไรกับการทำ SEO ? 

อย่างที่เกริ่นไปด้านบนว่า UI Design จะนำพาไปสู่การสร้าง UX และ UX คือประสบการณ์ในการเข้าชมหน้าเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณไม่ได้รับการเข้าชม หรือเข้าชมน้อย หรือแม้กระทั่งมีไม่สร้างความประทับใจในการเข้าชมของผู้ใช้งานจนเกิดการ Bounce Rate สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการทำ SEO ทั้งสิ้น เพราะการจัดลำดับการค้นหาของ Google ในการทำ SEO นั้น ประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานมีต่อเว็บไซต์ มีผลกับการจัด Ranking ทำให้การทำ SEO กับ UX Design มีความสัมพันธ์แบบที่ไปด้วยกันนั่นเอง 

ทำ UX Design อย่างไร เพื่อใก้เกิดการทำ SEO ที่ดี ?

  1. โครงสร้างของเว็บไซต์

– User Journey ที่หลากหลาย

จำไว้ว่าการเข้ามายังหน้าเว็บของเรามาจากหลายช่องทาง ทั้งกลุ่มที่รู้จักเราอยู่แล้ว และกลุ่มที่ไม่เคยรู้จัก Traffic ที่ดีควรมาจาก Organic Search อย่างไรก็ตาม User Journey ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอยู่ดี

– โครงสร้างเว็บไซต์ต้องง่าย 

หากโครงสร้างเว็บไซต์ง่าย ก็ช่วยทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

– ชื่อเมนูที่เป็นสากล

ช่วยทำให้ทั้ง Google และผู้ใช้งานเข้าใจง่าย ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนะ หากเทียบกับการเขียนคอนเมนต์

 

  1. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้รวดเร็ว

– Improve Page Speed

ยิ่งเว็บโหลดได้เร็วเท่าไหร่ ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน และทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

– Mobile First Index

ด้วยผู้ใช้งานหันมาใช้อุปกรณ์ประเภทมือถือมากขึ้น การออกแบบเว็บไซต์เหมาะสมกับอุปกรณ์ประเภทนี้ จะเป็นการทำ SEO ที่ได้ผลมากยิ่งขึ้น

– จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย

ออกแบบ Layout และการเรียงลำดับภาพรวมถึงข้อความในแต่ละหน้า จะทำให้ผลของ UX ดีขึ้น ส่งผลให้การทำ SEO ติดอันดับได้รวดเร็วขึ้น

  1. ให้ความสำคัญกับ SEO และ UX ในระดับที่เหมาะสม

-ไม่ลืมเรื่องของ Branding

ในการตั้งชื่อ Page Title หรือคอนเทนต์ต่างๆ อย่าลืมให้ความสำคัญเรื่อง Branding ด้วย อย่ามุ่งไปที่ Focus Keyword เพียงอย่างเดียว

– เน้นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

เขียนคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กระชับ เข้าใจง่าย ไม่ยืดเยื้อ

– ไม่ยัดเยียดคอนเทนต์มากเกินไป

ควรใส่ Internal link ในจำนวนที่เหมาะสม ไม่ใส่ลิงก์เยอะเกินไป 

การทำ UI Design เป็นการออกแบบเพื่อนำไปสู่การสร้าง UX ที่ดี และเมื่อผู้ใช้งานประทับใจกับหน้าเว็บไซต์แล้ว จะเกิดมาซึ่งการทำ SEO ที่ได้ประสิทธิภาพนั่นเอง

หรือใครกำลังมองหาการทำ SEO โดยใช้หลักของ UX UI อย่าลืมคิดถึง MarketingGuru นะค้า 😊

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

… ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาด้าน Digital Marketingได้ ฟรี! …

#DigitalMarketing #การตลาดออนไลน์ #MarketingGuru

MG-Blog-April-5

Youtube SEO เทรนด์ที่คนอยากติด SEO ต้องทำ

เชื่อว่าหลายๆคนทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าสื่อที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีที่สุดคือ ‘VDO’ ด้วยความที่ง่ายต่อการรับชม มีทั้งภาพและเสียงในสื่อเดียว การทำ SEO ให้กับ VDO หรือทำ Youtube SEO นั้น จึงเป็นสิ่งที่สายคอนเทนต์ต้องหาทำสุดๆ บวกกับมีหลายๆแหล่งข่าวออกมาสรุปเทรนด์การทำ SEO ของปี 2021 ที่มีเรื่องนี้อยู่แล้วด้วยนั้น ยิ่งทำให้ประเด็นนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

.

แล้วเราจะทำ Youtube SEO ได้อย่างไรล่ะ ?

  1. ความยาวของ VDO ไม่ต่ำกว่า 1 นาที เพราะ..

ยิ่งความยาวของ VDO เหมาะสม ยิ่งทำให้รักษาผู้ชมให้อยู่กับ VDO ได้นานเท่านั้น

Bot ของ Youtube จะมองว่า VDO ที่มีความยาวน้อยกว่า 60 วินาที เป็นสแปม

นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบย่อยๆในหัวข้อนี้ ที่ Youtube นำมาพิจารณาร่วมตามอัลกอริทึม ได้แก่

– จำนวนคอมเมนต์

– จำนวนไลก์

– จำนวนเวลาที่ถูกชมโดยรวม

– จำนวนการถูกแชร์ไปยัง Social Network

หลักการง่ายๆคือ “หากอยากทำ Youtube SEO  ควรสร้าง VDO ที่มีเนื้อหาและคุณค่าในความยาวที่เหมาะสม”

.

  1. ชื่อ VDO Youtube

ข้อผิดพลาดในการทำ SEO VDO ที่พบบ่อย คือตั้งชื่อได้ไม่ดีพอ ทั้งในส่วนของไฟล์ VDO และชื่อ VDO

หากคุณไม่อธิบายรายละเอียดหรือเนื้อหาของไฟล์ VDO ก่อนการอัปโหล Bot ของ Youtube จะไม่สามารถเข้าใจได้ ว่า VDO ของคุณเกี่ยวข้องกัยอะไร

วิธีเพิ่มรายละเอียดของชื่อไฟล์และคำอธิบาย ทำได้โดย

-คลิกขวาที่ไฟล์วิดีโอ เลือก “Properties”

-ใส่ชื่อไฟล์วิดีโอที่คุณต้องการในส่วนของ File Name และ Title ให้มี Primary Keyword และ Secondary Keyword ร่วมอยู่ด้วย

-ใส่หัวข้อรอง ในส่วนของ Subtitle ให้มี Secondary Keyword อื่น ๆ (ที่ไม่ซ้ำกับ File Name และ Title) ร่วมอยู่ด้วย

-ใส่ Rating ให้เป็น 5 ดาว

-ใส่ Keyword อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวิดีโอ ในส่วนของ Tags

-ใส่คำอธิบายในส่วนของ Comments ว่าวิดีโอมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร

-บันทึก (Save)

หลังจากทำการอัปโหลด รวมถึงก่อนการเผยแพร่ ต้องแน่ใจว่า ชื่อ VDO (Title) บน Youtube กับชื่อไฟล์ VDO (File Name) เป็นชื่อเดียวกัน

.

  1. คำอธิบาย VDO 

หนึ่งในเคล็ดลับการทำ Youtube SEO คือการเชื่อมโยง VDO ไปยังหน้า Landing page บนเว็บไซต์ของคุณ หรือ Social Network ต่างๆ โดยการแนบลิงก์ในคำอธิบาย VDO เช่น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่…, สั่งซื้อได้ที่.. เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของคำอธิบายในวิธีอื่นๆ เช่น

– คำอธิบายต้องยูนีค ไม่ซ้ำใคร จริงๆแล้วถ้า VDO มีคำอธิบายซ้ำ จะมีการปรับโทษ

– คำอธิบายควรมีอย่างน้อย 200 คำ

– ใช้ Secondary Keyword หรือคำค้นหาที่มีความสำคัญรองจากคำหลัก

– ควรใช้ Keyword แต่ละคำเพียงครั้งเดียวในคำอธิบาย 

  1. การเพิ่ม Subtitle

การใส่ Subtitle เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำ ให้ Youtube เข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องในคลิปมากขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO VDO ให้ดีมากยิ่งขึ้น

.

  1. เพิ่ม Timestamps ในแต่ละ VDO

ในปัจจุบัน Google มี Key Moment บนหน้าผลการค้นหา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกชม VDO เฉพาะส่วน หรือช่วงที่ต้องการรับชมได้ การสร้าง Timestamp จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณมีโอกาสติดอันดับการค้นหาของ Google Search และติด Youtube SEO  นั่นเอง

การเพิ่ม Time Stamps สามารถทำได้ 3 ส่วนด้วยกัน

– บนตัวเล่น VDO: แบ่งช่วงของ VDO โดยเมื่อนำเมาส์ไปสัมผัส จะปรากฎเป็นชื่อของช่วงนั้นๆ

– ในคำอธิบาย VDO: ระบุช่วงเวลาของแต่ละช่วงลงในส่วนของคำอธิบาย

– ใน Comment: แสดงความคิดเห็นระบุช่วงพร้อมชื่อ และปักไว้เป็น Top Comment 

.

  1. สร้าง Youtube Playlist บนช่อง

การทำเพลย์ลิสต์เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อทำการอัปโหลด VDO เสร็จแล้ว ซึ่งเป็นการช่วยจัดหมวดหมู่ VDO ให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการรับชมมากขึ้น โดยทำการเพิ่ม Keyword ที่เกี่ยวข้องไว้ในชื่อของแต่ละ Palylist ด้วย จะทำให้การทำ SEO ได้ผลยิ่งขึ้น

.

  1. ทำภาพตัวอย่างของ VDO 

การทำภาพ VDO Thumbnail หรือภาพตัวอย่าง สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ซึ่งในภาพ นอกจากจะเป็นรูปที่เกี่ยวข้อง ยังสามารถใส่ข้อความบ่งบอกว่า VDO ของคุณเกี่ยวกับอะไรได้อีกด้วย 

สามารถทำได้โดย การเพิ่มภาพตัวอย่างที่กำหนดเอง โดยคลิก”Custom thumbnail” ทำการอัปโหลด

4 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการสร้างภาพตัวอย่างวิดีโอ

-ขนาดรูปภาพ 1280 x 720 px

-ขนาดไฟล์ภาพต้องน้อยกว่า 2MB

-ใช้สีสดใส หรือผสมผสานระหว่างสีสันสดใสสองสี วิธีนี้จะช่วยให้ภาพตัวอย่างวิดีโอของคุณโดดเด่น

-ชนิดไฟล์ภาพต้องเป็น .JPG, .BMP, .GIF, .PNG

.

  1. ปรับแต่ง Youtube Channel

ในหน้าโปรไฟล์ของคุณ สามารถใส่ข้อมูลเพื่อให้ Bot ของ Youtube ทราบเนื้อหา การปรับแต่ง Channel Profile สามารถเพิ่มอันดับของ SEO VDO ในผลการค้นหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพของ Youtube SEO นั่นเอง

โดยต้องคำนึงถึง 4 ส่วนในการปรับแต่ง ดังนี้

– ภาพพื้นหลังและรูปโปรไฟล์

– ภาพปกของ Channel

– คำอธิบายเกี่ยวกับช่องของคุณ เพื่อให้ Bot ของเครื่องมือค้นหาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ VDO ของคุณมากขึ้น และอย่าลืมเพิ่ม Keyword รองในส่วนต้นๆของประโยค ที่ไม่ซ้ำกันประมาณ 2-3 ตำแหน่ง

– เพิ่มลิงก์ไปยังเว็บไซต์หรือหน้า Social Media ช่องทางอื่นๆ

– สมัครรับข้อมูลหรือ Subscribe *ทำการ Subscribe ช่องอื่นที่มีความใกล้เคียงกัน Bot ของ Google และ Youtube จะเข้าใจ VDO มากขึ้น

.

  1. แชร์ VDO ไปยัง Social Media

หากเป็นเมื่อก่อน การทำ SEO จะขึ้นอยู่กับช่องทางบนเว็บไซต์ แต่ปัจจุบัน Google รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุก Social Media มาเป็นส่วนในการตัดสินใจจัดลำดับ และทำให้การทำ SEO VDO ดีขึ้นอีกด้วย เช่น

– การเชื่อมช่อง Youtube เข้ากับบัญชี Facebook / Twitter แบบอัตโนมัติ กล่าวคือ เมื่อมีการอัปโหลด VDO จะถูกส่งไปยังช่องทางเหล่านนี้อัตโนมัติ

– โพสต์ไปยังช่องทาง Social media ส่วนตัว

– ซื้อบริการแชร์วิดีโอไปยังบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม

.

  1. สร้าง Blacklink ไปยัง Youtube และ Embed VDO

สามารถสร้าง Youtube SEO ได้โดยการ

– นำลิงก์ VDO ไปเผยแพร่ในบล็อก, Pinterest, Tumblr, และลายเซ็นต์ของอีเมลได้ รวมถึงเพิ่ม VDO ในเว็บส่วนตัว (หากมี) โดยอาจจะทำ 3-4 ลิงก์/สัปดาห์

– จำนวน Embed ของ VDO ก็จะถูกนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน

– แชร์ลิงก์ไปยัง Social Media ทั้งส่วนตัวและธุรกิจ

– การส่งวิดีโอไปยัง OnlyWire (onlywire.com) : เป็นตัวช่วยในการส่งวิดีโอไปยัง Social Bookmark ได้ทีละหลาย ๆ เว็บภายในครั้งเดียว

– ส่งไปยังเว็บไดเรกทอรีและเว็บโปรไฟล์ธุรกิจต่าง ๆ

-Guest Post: เขียนบทความในบล็อกหรือเว็บไซต์พันธมิตรของคุณ แนบลิงก์หรือ Embed วิดีโอไว้ในเนื้อหานั้น ๆ

– โพสต์ไปยังเว็บกระทู้ต่าง ๆ

.

การทำ SEO VDO ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ติด Youtube SEO ได้ แต่ทั้งนี้ แต่ละคน อาจจะมีวิธีการหรือเทคนิคในการทำที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ลองนำวิธีที่ MarketingGuru นำมาแชร์ไปปรับใช้กันดูนะคะ

หรือใครที่ยังมองว่าการทำ Youtube SEO อาจจะยุ่งยากไป ลองทักมาปรึกษา MarketingGuru ได้นะค้า ยินดีให้บริการสุดๆไปเลย 😍

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

… ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาด้าน Digital Marketingได้ ฟรี! …

#DigitalMarketing #การตลาดออนไลน์ #MarketingGuru

MG-Blog-April-4

Local SEO คีย์เวิร์ด ของคนอยากทำ SEO

การทำ SEO ถือเป็นช่องทางการตลาดที่หลายๆคนให้ความสนใจ ด้วยเพราะการไม่เสียค่าใช้จ่าย ประกอบกับถือเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากไม่ใช่ว่าทุกคนหรือทุกธุรกิจจะสามารถติดได้ เพราะจะต้องใช้เทคนิครวมถึงระยะเวลาในการวัดผลนั่นเอง 

เมื่ออยากทำ SEO หลายๆคน มุ่งความสนใจ ไปยัง Keyword ที่มี Search Volume สูง ร่วมกับการแข่งขันต่ำ ซึ่งเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่หากลองเพิ่มเทคนิคเล็กๆน้อยๆ ด้วยการใช้ Local SEO เข้าไป จะทำให้การค้นหา รวมถึงการติดอันดับง่ายและรวดเร็วขึ้นนั่นเอง

Local SEO คืออะไร ?

Local SEO คือการทำ SEO ที่โฟกัสและมุ่งไปยังพื้นที่นั้นๆ หรือการทำ SEO ด้วยการเพิ่ม Keyword พื้นที่ต่างๆหลังคำค้นหาสำคัญ ถือเป็นเทคนิคสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจท้องถิ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา และเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันกับเว็บไซต์ของธุรกิจขนาดใหญ่

ยกตัวอย่างเช่น ร้านขนมหวาน หากใช้คำค้นหาเป็น “ร้านขนมหวาน” อาจจะเป็นคำที่กว้างเกินไป Search Volume สูงก็จริง แต่การแข่งขันย่อมสูงเช่นกัน อาจจะส่งผลให้การติด Google Ranking ยากเกินไป เราอาจจะปรับวิธีด้วยการทำ Keyword ร้านขนมหวาน+สถานที่ตั้งร้านค้าของเราแทน

Keyword ตัวอย่าง เช่น

  • ร้านขนมหวาน สุขุมวิท
  • ร้านขนมหวาน ลาดพร้าว
  • ร้านขนมหวาน ขอนแก่น

โดยจะส่งผลให้ ลูกค้าในพื้นที่อื่นๆ ไม่เจอร้านค้าของเรา แต่ถ้าธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าเป็นคนในท้องถิ่น การทำ Local SEO ถือเป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าการทำ SEO แบบอื่นๆ

จะบอกว่าการทำ Local SEO ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการทำ SEO แบบทั่วไปเลย แค่เพิ่มกลยุทธ์เล็กๆ ด้วยการใส่ Keyword แบบเฉพาะพื้นที่ จะช่วยให้การทำ SEO ติดหน้าแรก Google ได้มากกว่า และทำให้เพิ่มยอดขายได้รวดเร็วกว่าการทำ SEO แบบอื่นๆเช่นกัน

เช็คได้อย่างไร ว่า Keyword ไหนต้องทำ Local SEO ?

ไม่ใช่ทุก Keyword ที่จำเป็นจะต้องทำ SEO ประเภทนี้ สามารถเช็คได้โดย

1) เช็คจากหน้าแสดงผลการค้นหา (Google SERP)

ทำได้โดยพิมพ์ค้นหาคำที่ต้องการอยากรู้ใน Google หากผลการค้นหามีแผนที่ Google Map ขึ้นมา แสดงว่า Keyword นี้ จำเป็นต้องปรับ On page เพื่อทำ Local SEO ด้วย

2) เช็คจากโปรแกรม Ubersuggest

ค้นหา Keyword ที่ต้องการ จากนั้นดูที่ Keyword ideas หากแสดงผล Keyword นั้นแล้วมีสถานที่ต่อท้าย แสดงว่าเราต้องทำ Local SEO ด้วย

3) เช็คจาก Ahrefs

โปรแกรมทำ SEO ยอดนิยม หลักการเหมือนกับการเช็คใน Ubersuggest เพียงแค่กดค้นหาใน Keywords Explorer แล้วจากนั้นพิมพ์คำที่ต้องการ และกดที่ Search suggestions หากแสดงผล Keyword นั้นแล้วมีสถานที่ต่อท้าย แสดงว่าเราต้องทำ Local SEO ด้วยเช่นกัน

แนวคิดในการทำ Local SEO

– มองให้เป็น Longtail Keyword ที่จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ

– สามารถทำ Local SEO ได้ในหลากหลายพื้นที่ ต่อให้ธุรกิจของเราจะไม่ได้ครอบคลุมทุกที่ก็ตาม

– มองว่านี่คือหนทางในการสร้าง Traffic ให้กับธุรกิจ ไม่ต้องสนใจว่ามี Search Volume มากหรือน้อย

– ควรทำ Local SEO ภายในพื้นที่ของตัวเองก่อน แล้วจึงไปเก็บพื้นที่อื่นๆต่อ

– Google Map เป็นสิ่งสำคัญ ปักหมุดอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปปรับแต่งที่ Google My Business ด้วย

– เว็บเราไม่มีหน้าร้าน ก็สามารถปักหมุด Google Map เอาไว้สร้างภาพได้เช่นเดียวกัน

ขอบคุณที่มา: padveewebschool.com

การทำ Local SEO เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำ SEO ของธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในท้องถิ่น สามารถสร้าง Traffic และรายได้ได้ดีกว่าการทำการตลาดหรือทำ SEO แบบอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ลองนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองกันนะคะ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา Keyword ได้แน่นอน

หรือหากใครที่กำลังมองหา Digital marketing agency ไว้เป็นที่ปรึกษาเรื่อง Local SEO อย่าลืมคิดถึง MarketingGuru นะคะ ☺

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

… ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาด้าน Digital Marketingได้ ฟรี! …

#DigitalMarketing #การตลาดออนไลน์ #MarketingGuru

MG-Blog-April-1

PPC หรือ SEO จะทำ Online marketing แบบไหน

PPC หรือ SEO จะทำ Online marketing แบบไหน

สำหรับวงการ Online marketing หรือเหล่า Digital marketing agency ที่รับทำการตลาดออนไลน์ คงจะคุ้นหูกับ PPC และ SEO กันเป็นอย่างดี แต่เคยไหม ? ที่อยู่ๆก็มีคำถามว่าระหว่าง PPC และ SEO เราจะเลือกใช้อะไรกันดีนะ ? แล้วธุรกิจแบบไหนควรใช้อะไร ? คำถามนี้จะหมดไป เพียงแค่คุณอ่านบทความนี้

ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับทั้ง PPC และ SEO หนึ่งในช่องทางของ Online marketing กันก่อนดีกว่า

 

PPC (Pay Per Click) คือการทำ Online marketing หรือโฆษณาบนหน้า Search engine โดยจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อมีการค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาเราเท่านั้น และจะมีการเสียเงินเมื่อมีการกดคลิกเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ (Landing page) เท่านั้น เราสามารถกำหนดราคาต่อคลิกได้เอง  ทำให้โฆษณาของเราขึ้นหน้าแรกของ Google ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้เงินในการลงทุนนะ

SEO (Search engine optimization) คือการทำ Online marketing ให้ Content ใน Landing page ติดอันดับของ Google เมื่อมีการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ของเรา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แต่ใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Keyword ที่ต้องการด้วย ว่ามีคู่แข่งขันในวงการเดียวกันสูงหรือไม่ และมี Search volume เท่าไหร่เช่นกัน  โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

SEO On Page: คือการนำเนื้อหา รูปภาพ หรือปุ่มต่างๆในเว็บไซต์ มาทำให้เกิดการเชื่อมต่อกับ Keyword หรือ ทำให้เกิดการกระทำบางอย่างกับเว็บไซต์มากขึ้น 

SEO Off Page: การนำเว็บไซต์ ไปโปรโมต หรือฝังลิงก์ในเว็บไซต์อื่น เพื่อให้เกิดการคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของเรา 

การทำ Online marketing ด้วย SEO ไม่ได้วัดแค่ความเกี่ยวข้องของ Keyword กับ Landing page เท่านั้นนะ แต่ยังวัดไปถึงคุณภาพของเว็บไซต์ เช่นอัตราความเร็วการโหลดในหน้านั้นๆ, ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ว่าเปิดใช้งานมาเป็นเวลานานแค่ไหน รวมถึงคุณภาพของคอนเทนต์ในหน้านั้นๆ ว่านอกจากจะต้องมี Keyword ที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างอื่นก็สำคัญ เช่น การจัดภาพรวมหน้านั้นๆเอื้ออำนวยต่อ User แบบ Mobile firiendly หรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจัดลำดับ Ranking SEO ของ Google ก็มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ไปเรื่อยๆอีกเช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่เป็นสาย Digital marketing agency หรือรับทำการตลาดออนไลน์ ต้องอย่าพลาดการ Update อยู่เรื่อยๆเลยล่ะ

แล้วควรเลือกทำ Online marketing ด้วย PPC หรือ SEO ดี ?

จากการเปรียบเทียบภาพดังกล่าว จะเห็นว่าความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน เอาง่ายๆเลย ถ้าอยากทำ Online marketing โดยให้คอนเทนต์ของเรามีอยู่ในหน้าแรกของ Google อย่างรวดเร็ว ก็ใช้การทำโฆษณาแบบ PPC (แต่ต้องลงทุนเรื่องเงินกันหน่อยนะ) แต่ต้องยอมรับนะ ว่าเมื่อเราทำ PPC หากเรากดค้นหาอีกครั้ง โฆษณาของเราอาจจะหายไปแล้วก็ได้ ส่วน SEO คือการทำคอนเทนต์ให้ติดอันดับของ Google ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่ต้องใช้เวลาและเทคนิคมากมาย และจะคงอยู่ติดลำดับได้นาน จนกว่าคอนเทนต์จากเว็บอื่นจะแซงอันดับ และหากคอนเทนต์เราติด จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาผ่าน PPC นั่นเอง 

ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว จะเลือกทำ Online marketing แบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องกำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจนเสียก่อน แล้วจึงค่อยเลือกช่องทางและวิธีการทำ Online marketing ของธุรกิจนั้นๆ

หรือหากใครที่อยากหา Digital agency marketing ที่รับทำการตลาดออนไลน์ มาดูแลเรื่อง Online marketing ทั้ง PPC, SEO รวมถึงรูปแบบอื่นๆ สามารถปรึกษาหรือสอบถาม MarketingGuru ได้เลยค่ะ

 

🧡 ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษา ฟรี! 🧡

👉🏻 Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

👉🏻 โทร 02-381-9045

👉🏻 Line คลิก > https://page.line.me/marketingguru

หรือแอด Line : @marketingguru

👉🏻 E-mail: contact@marketingguru.io

MG-Blog-SEOmakesure

SEO ขึ้นหน้า 1 Google ทำไมถึงการันตีไม่ได้

แล้วการันตีได้มั้ยคะว่าถ้าทำแล้วจะขึ้นหน้า 1 ?

คำถามที่เราเจอบ่อยมากในทุกครั้งที่นำเสนอบริการ SEO ให้กับลูกค้า แน่นอนว่าการได้ขึ้นอยู่ในหน้า 1 Google ย่อมเป็นสิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการ (เราเองก็ด้วย) เพราะมันนำมาสู่โอกาสในการเพิ่ม Traffic มาให้เว็บไซต์ของเรามากขึ้นในขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสในการขายได้ด้วย แต่การการันตีว่าจะสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นหน้า 1 Google ได้นั้น กลับเป็นสิ่งที่บริษัทเอเจนซี่ส่วนใหญ่ไม่ทำกัน

หากลองนึกถึงหลักง่าย ๆ ที่ว่าในปัจจุบันนี้เรามีบริษัท Digital Agency มากมายที่รับทำ SEO และเป้าหมายส่วนใหญ่ก็คือการที่เว็บไซต์ได้ขึ้นหน้า 1 Google ซึ่งจากการใช้งานที่เราเห็นทั่วไปก็จะรู้ได้ว่าพื้นที่ในหน้า 1 นั้นไม่ได้มีมากมายพอสำหรับความต้องการลูกค้าในแต่ละเอเจนซี่แน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นการจะมาบอกว่าความต้องการเยอะเลยการันตีไม่ได้ก็ยังดูไม่มีน้ำหนักมากนัก เราจึงสรุปปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่สามารถการันตีได้มาดังนี้

1.แม้แต่ Google เองยังบอกว่าการการันตี SEO นั้นไม่สามารถการันตีได้ ด้วยแพลทฟอร์ม และวิธีการคัดกรองของ Google ที่ไม่มีใครรู้ ใช่แล้วค่ะไม่มีทางที่เค้าจะบอกเราแน่นอนพราะส่วนใหญ่ที่ทางเอเจนซี่ทำกันก็เกิดจากค้นหา คาดการณ์ และประสบการณ์นั่นเอง

2. Back link กับยอด Traffic เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อ SEO เราทำ SEO เพื่อเพิ่มยอด Traffic แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่าเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมเยอะอยู่แล้วสามารถขึ้นหน้า 1 ได้อย่างไม่ยาก ลองนึกถึงคำถามที่ติดหูพวกเรามาตั้งแต่เด็กอย่าง ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน? ก็จะแนว ๆ เดียวกับแบบนั้นเลย ที่สุดท้ายก็ยากที่จะหาคำตอบ ส่วนปัจจัยของ Back link อาจสามารถมีวิธีในการทำให้เกิดได้ แต่ก็ยังไม่ได้ถือว่าควบคุมได้ซะทีเดียว


3. อัลกอริทึม ระบบหลักในการคัดกรอง SEO ที่ Google นั้นเปลี่ยนหลายร้อยหรือหลายพันครั้งต่อปีเลยล่ะ นั่นหมายความว่าเราอาจจะสามารถค้นพบปัจจัยที่ช่วยดัน SEO เราให้ขึ้นหน้า 1 ได้แล้วแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะได้ผลเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้วอัลกอริทึมเปลี่ยนตลอด


4. การที่ SEO จะสามารถขึ้นหน้า 1 ได้นั้นต้องอาศัยหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งในฝั่งของเอเจนซี่และลูกค้า หน้าเว็บไซต์ที่ต้องดูดี ดึงดูดให้คนเข้าถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพลูกค้าประทับใจ รวมถึงบรรดาเนื้อหาใน Blog ที่โพสต์ลงเว็บไซต์ ปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อลำดับ SEO ทั้งสิ้น

หากจะให้พูดง่าย ๆ ก็คงต้องร่วมมือกันทั้งฝั่งของเอเจนซี่เองและลูกค้าในการที่จะดันให้เว็บไซต์ขึ้นหน้า 1 แต่ถึงจะดูยาก การได้มาซึ่งหน้า 1 Google ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่คุ้มค่าเพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มยอด Traffic เเล้ว ยอดขายก็จะเพิ่มตามไปด้วยเเละที่สำคัญเมื่อคุณติดหน้า 1 เเล้วก็จะสามารถติดอยู่นานจึงนับเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเเละเห็นผลได้จริง