line oa picture size

ขนาดรูป line หมดทุกไซส์ ถูกใจ Online marketing อัพเดตปี 2024

line oa picture size

Line เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการติดต่อสื่อสารแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการทำ Online marketing ด้วย หรือที่เรียกว่า Line ads ซึ่งแน่นอนว่า หากต้องการใช้ช่องทางนี้ในการทำการตลาดออนไลน์ เราจำเป็นต้องรู้ถึงขนาดรูป line เพื่อที่จะได้นำมาสร้างสรรค์เป็นคอนเทนต์หรือ Line ads ให้เหมาะสมนั่นเอง อย่าลืมว่าการทำกราฟิก หรือรูปภาพประกอบคอนเทนต์นั้น เป็นสื่อที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย และสร้าง Visual ของแบรนด์ได้ดีกว่าการใช้แค่ข้อความธรรมดา 

วันนี้เรามีขนาดรูปในไลน์ครบทุกไซส์ที่แสดงในรูปแบบของโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบบที่ต้องถูกใจสาย Online marketing มาฝากกันค่ะ เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์สร้างเป็นคอนเทนต์เก๋ๆ หรือ Line ads ปังๆกันนนน ไปค่ะ ลุยกันเลยยยยย

1. ขนาดรูป Line: ภาพโปรไฟล์ และรูป Cover

  • ภาพโปรไฟล์: ภาพที่แสดงแทนตัวของผู้ใช้, แบรนด์ หรือธุรกิจ ซึ่งเป็นภาพแรกที่ทุกคนจะเห็น ขนาดที่เหมาะสมคือ 168×168 px หรือเป็นภาพแนวสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเป็นขนาดที่ชัดที่สุด ที่จะแสดงผลออกมาได้ 
  • ภาพปกไลน์: ขนาดภาพที่เหมาะสมคือ ภาพแนวตั้ง 720×1280 px แต่เมื่อลองใช้งานแล้ว จะพบว่าขนาดดังกล่าว บริเวณด้านล่าง จะถูกบังด้วยเมนู

ดังนั้น ควรใช้บริเวณ safe zone ของภาพ ในสัดส่วนของ 720×978 px (บริเวณกลางภาพ) ซึ่งสาระสำคัญหรือสิ่งที่ต้องการให้เห็นอย่างชัดเจน ควรอยู่ในบริเวณ Safe zone นี้ด้วย

2. ขนาดรูป Line: ในแชตสนทนา

จริงอยู่ที่ในแชต สามารถอัปโหลดได้ทุกขนาด และ Line เองก็แสดงผลให้ได้ครบทุกขนาดได้ด้วยเช่นกัน แต่สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ หรือใช้เพื่อการขายแล้วนั้น ก็ควรเป็นอัตราส่วนที่อ่านง่าย และพอดีกับหน้าจอภาพโทรศัพท์ ซึ่งในที่นี้ ขอแนะนำขนาดรูปในไลน์ 3 ขนาด ที่ทำให้ภาพน่าอ่านมากยิ่งขึ้น

  • ขนาด 1200×1600 px (แนวตั้ง 3:4) – เหมาะกับการจัดวางองค์ประกอบที่ไล่เรียงจากส่วนบนลงมาส่วนล่าง หรือวางภาพสินค้าด้านบน แล้วมีคำโปรยเด่นๆอยู่ด้านล่าง และต้องการใส่ภาพที่เน้นขนาดใหญ่ การใช้สัดส่วน 3:4 ถือเป็นขนาดที่เหมาะสม
  • ขนาด 1200×1200 px (สี่เหลี่ยมผืนผ้า 1:1) – เหมาะกับการทำภาพที่สามารถนำไปใช้ต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Facebook, Twitter หรือ Instagram ทำครั้งเดียว สามารถใช้ได้หลากหลายช่องทาง และรวมถึงช่องทางของ Line ด้วยเช่นกัน
  • ขนาด 1200×900 px (แนวนอน 4:3) – หากเป็นภาพถ่ายแบบทั่วไป การทำแนวนอนเป็นสัดส่วน 4:3 ซึ่งต่อให้ดูเล็กกว่า 2 ขนาดด้านบน แต่ยังให้ความชัดเจนอยู่ในการทำภาพแนวนอน

*หากใครต้องการส่งภาพเป็นแบบ Album ก็สามารถทำได้ โดยการส่งภาพพร้อมกันหลายๆภาพ แต่การแสดงผลอาจจะต่างกันเล็กน้อย คือ

  • หากจำนวนภาพใน Album เป็นเลขคู่ ภาพทั้งหมดจะถูกปรับให้แสดงเป็นสัดส่วนสี่เหลี่ยมจัตุรัส
  • หากจำนวนภาพใน Album เป็นเลขคี่ ภาพสุดท้ายจะถูกปรับให้เป็นขนาด 16:9 ส่วนภาพที่เหลือจะเป็นขนาดจัตุรัสเท่าเดิม

3. ขนาดรูป Line: ในหน้า Timeline

หลายๆคนมองข้ามการใช้ฟีเจอร์นี้ แต่จริงๆเราสามารถใช้โปรโมตแบรนด์หรือสินค้าได้ เพราะหากเราทำการโพสต์ลงหน้า Timeline เป็นประจำ จะทำให้โปรไฟล์ดูเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีขนาดดังต่อไปนี้

  • ขนาด 1200×1200 px (สี่เหลี่ยมผืนผ้า 1:1) – เป็นการใช้ขนาดที่สามารถทำให้เห็นภาพที่มีนาดเต็ม รายละเอียดชัดเจน และหลายๆแบรนด์มักใส่ปุ่ม CTA บริเวณด้านล่าง เพื่อให้คนที่สนใจกดเข้าไปซื้อสินค้าได้
  • ขนาด 1200×1540 px (แนวตั้ง 7:9) – เป็นขนาดที่กว้างที่สุด จึงเหมาะกับคอนเทนต์ที่มีองค์ประกอบเยอะ และดึงดูดสายตาได้มากที่สุด
  • ขนาด 1200×600 px (แนวนอน 2:1) – เป็นขนาดรูปในไลน์ที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่หากต้องการทำภาพแนวนอนบน Timeline สัดส่วนนี้ถือว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด

4. ขนาดรูป Line: สำหรับ Line ads platform (LAP)

Line Ads Platform คืออะไร ?

เป็นรูปแบบหนึ่งในการซื้อโฆษณาเพื่อให้คอนเทนต์ของเราไปปรากฎในพื้นที่ต่างๆบน LINE แต่สามารถใช้ได้กับ LINE Offial Account เท่านั้น

เราสามารถลง Line Ads ผ่าน LAP ได้อย่างไร

หากคุณมี LINE Official Account แล้ว และต้องการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้คน ก็สามารถใช้บริการ LINE Ads Platform (LAP) ในรูปแบบโพสต์ที่ได้รับการสนับสนุน (Sponsored Post) ซึ่งจะเป็นโฆษณาที่ปรากกบน LINE Timeline และ LINE Today

ขนาดรูปสำหรับ Line Ads มีอะไรบ้าง

  • ขนาด 1080×1080 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – ขนาดที่สามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่ง LAP สามารถเพิ่ม CTA ที่ลูกค้าจะสามารถกดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการได้ทันที รวมถึงปุ่มเพิ่มเพื่อน, ปุ่มที่ลิงก์ไปยังหน้า Landig page ก็สามารถทำได้เช่นกัน
  • ขนาด 1200×628 px (Horizontal 1.9:1) – เหมาะสำหรับใช้เป็นภาพ Pop up ที่จะแสดงสุ่มขึ้นมาใน Line Today

5. ขนาดวิดีโอบน Line Ads Platform

  • ขนาด 1080×1080 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – เป็นขนาดวิดิโอทั่วไป สามารถใช้ได้กับหลากหลายแพลตฟอร์ม
  • ขนาด 1280×720 px (แนวนอน 16:9) – เป็นขนาดที่ใช้กับคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอเหมือนกันกับ Youtube ซึ่งสามารถใช้กับ Line Ads ได้เช่นกัน

6. ขนาดรูป Line: Rich Content

Rich Content คือ ลูกเล่นเพิ่มเติมของ LINE Official Account เป็นรูปภาพที่ดึงดูดให้เกิดการคลิกมากขึ้น โดยการออกแบบให้เป็นปุ่ม CTA ไปในตัว ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มยอด Conversion Rate ให้กับธุรกิจด้วยฟังก์ชันการใช้งาน 3 รูปแบบ ได้แก่

  • Rich Message: เพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อความใน Chat ด้วยการส่งข้อความพร้อมรูปภาพที่เป็น CTA ลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการ
  • Rich VDO: เปลี่ยนการนำเสนอด้วยรูปแบบวิดีโอแบบเต็มหน้าจอแชต เมื่อทำการบรอดแคสต์
  • Rich Menu: เพิ่มความสวยงามให้กับหน้าจอแชต ลดเวลาในการถาม-ตอบ รวมถึงส่งเสริมการโปรโมตของแบรนด์ด้วยการใช้ฟีเจอร์นี้

ขนาดรูปภาพ Line ใน Rich Content ต่างๆ

  • Rich Message ขนาด 1040×1040 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – Rich Message ในรูปแบบของรูปภาพ ที่สามารถส่งในแชตให้กับลูกค้าโดยตรง อีกทั้งยังแทรกลิงก์ลงไปในภาพได้อีกด้วย แต่ต้องมีขนาดไฟล์ไม่เกิน 10 mb และรองรับเฉพาะ JPG และ PNG โดยจะมีเทมเพลตให้ใช้งานได้มากถึง 8 รูปแบบ ดังนี้

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ : https://lineforbusiness.com/richmessagemaker/

  • Rich VDO ขนาด 1200×628 px (แนวนอน 16:9) – เป็นขนาดวิดีโอแบบเต็มหน้าจอของสมาร์ทโฟน ตามตัวอย่างดังนี้

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ : https://lineforbusiness.com/richmessagemaker/

  • Rich Menu ปุ่มเมนูด้านล่างของแชต ใช้งานได้หลากหลาย ตามที่ผู้ใช้กำหนด ซึ่งจะมีวิธีการสร้างได้หลากหลาย หากอยู่ในรูปแบบที่ไม่ต้องเขียนโค้ด จะแบ่งขนาดออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
    • Line Rich Menu (Large) ใส่ได้สูงสุด 6 ภาพ

    • Line Rich Menu (Small) ใส่ได้สูงสุด 3 ภาพ

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ :https://lineforbusiness.com/richmenumaker/

ขอบคุณที่มา: www.contentshifu.com

การทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของ LINE มีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นก็จะมีขนาดภาพที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ จะเลือกใช้คอนเทนต์แบบไหน จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการในการสื่อสารเช่นกัน

หรืออยากใครต้องการ Digital marketing agency ไว้เป็นที่ปรึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์ สามารถทักมาหา MarketingGuru ได้เลยน้า

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

Line Ads Platform

Line Ads Platform ราคาแพงไหม คำนวณอย่างไรไปดู!

Line Ads Platform

Line ads Platform (LAP) อีกหนึ่งตัวเลือกโฆษณาน่าสนใจ สำหรับร้านค้าและธุรกิจในการโปรโมตสินค้าโดยเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น นอกเหนือจากช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกสบายในการติดต่อสอบถามและสั่งซื้อสินค้า เพิ่มประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่นเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยส่วนใหญ่ใช้กันเป็นจำนวนมาก ใครที่ยังสงสัยว่าการโฆษณาลงแพลตฟอร์มยอดฮิตนี้ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันเลย

Line ads แตกต่างจากการโฆษณาบน Facebook เพราะไม่เพียงแต่จะคำนวณจาก Cost Per Click หรือ Cost Per View แต่ LAP ยังให้สิทธิผู้ลงโฆษณาในการเลือกรูปแบบการคำนวณงบประมาณโฆษณาตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญ

ยิ่งกว่าไปนั้น หากต้องการกำหนดแคมเปญเพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ก็สามารถเลือกการจ่ายเงินแบบ Cost Per Impression (CPM) ต่อหนึ่งการมองเห็นโฆษณาของผู้ใช้งาน หรือ หลังจากยิงโฆษณาไปแล้ว ผู้ใช้งานทำการเพิ่มจำนวนเพื่อนผ่าน Line Account ก็สามารถคำนวณจ่ายแบบ จ่ายแบบ Cost Per Friend ได้เช่นเดียวกัน

โดยแคมเปญโฆษณาสามารถแบ่งรูปแบบการเลือกจ่ายเงินได้ 6 รูปแบบ
– Cost Per Impressions (CPM) ผ่านการมองเห็นโฆษณา
– Cost Per Click (CPC) ผ่านการคลิกดูโฆษณา
– Cost Per Friend (CPF) ผ่านการเพิ่มเพื่อน
– Cost Per Video View (CPV) ผ่านการดูโฆษณาวิดีโอ
– Cost Per Action (CPA) ผ่านการตั้งคอนเวอร์ชัน
– Cost Per Install (CPI) ผ่านการติดตั้งแอปพลิเคชัน

 

LINE Ads แพงไหม?

ค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มไลน์ แพงหรือไม่ นั้นขึ้นอยู่กับการกำหนดแคมเปญในโฆษณานั้นๆ ซึ่งพิจารณาจากกลุ่มเป้าหมายและการเสนอค่าโฆษณาผ่านการประมูล เพื่อให้แสดงโฆษณานั้นก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นโฆษณาของแบรนด์อื่น ดังนั้น ผู้ซื้อโฆษณา จำเป็นต้องตั้งงบประมาณที่ต้องการประมูล แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

การตั้งราคาเสนอด้วยตนเอง (Manual Bidding)

วิธีเสนอราคาด้วยตนเอง จะมอบอิสระให้ผู้ซื้อโฆษณากำหนดราคาตามที่กำหนดไว้ตามเป้าหมาย โดยสามารถตั้งราคาตามที่ LAP แนะนำได้เลยหลังสมัครเข้าไป วิธีนี้จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณามากขึ้น หรือ จะกำหนดงบประมาณตามโฆษณาเดิมซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์แล้ว หรือเคยผ่านเอเจนซี่ที่ช่วยวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในการกำหนดราคาโฆษณา

การตั้งราคาเสนอแบบอัตโนมัติ (Automatic Bidding)

การตั้งราคาเสนอแบบอัตโนมัติ เป็นวิธีที่ให้ LAP กำหนดราคาโฆษณาอัตโนมัติในการเข้าประมูล โดยผู้ซื้อโฆษณาตั้งงบราคาในใจหรือเงื่อนไขอื่นๆ ได้ ตามการตั้งค่าหลักๆ ดังนี้

 

1. กำหนดลิมิตของราคาที่เสนอ (Bid Amount Cap)

หมายถึงการกำหนดราคาเริ่มต้นขั้นต่ำไปจนถึงราคาสูงสุดที่สามารถรับได้

2. กำหนดลิมิตราคาต่อคอนเวอร์ชัน (Event Cost Cap)

หมายถึงการกำหนดราคาสูงสุดไว้ ระบบจะพยายามหา Conversion ที่อาจจะเกินราคาต่อ CPA แต่ค่าเฉลี่ยจะไม่เกินที่กำหนดไว้

3. กำหนดเป้าหมายราคาต่อคอนเวอร์ชัน (Target Event Cost)

หมายถึงการกำหนดราคาต่อผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ระบบจะเลือกการกำหนดราคาที่ใกล้เคียงกัน โดยไม่อิงจากราคาต่ำสุด แต่จะมีแนวโน้มใช้การกำหนดราคาที่ต่ำหรือสูงกว่าก็ได้

4. งบประมาณรายวันให้ได้สูงสุด โดยไม่กำหนดราคาต่อคอนเวอร์ชัน (No Limit)

หมายถึงการกำหนดราคาแบบไม่จำกัดโดยระบบจะใช้ราคาตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงไม่มีราคากำหนด เพื่อให้มีโอกาสชนะมากที่สุด

หรือเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่วิดีโอ Line Official

 

หวังว่าบทความนี้พอจะให้ผู้อ่านเข้าใจคอนเซ็ปต์คร่าวๆ เกี่ยวกับการคำนวณโฆษณาบนแพลตฟอร์มไลน์ ว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และสามารถทำได้อย่างไร หากสนใจเกี่ยวกับการทำโฆษณาผ่านไลน์  Marketingguru ยินให้บริการด้านดิจิทัลเอเจนซี่ คอยให้คำปรึกษาทางการโฆษณาทุกแพลตฟอร์มเพื่อช่วยกำหนดงบประมาณและให้แคมเปญออกมาได้ประสิทธิภาพตามเป้าที่ตั้งไว้

 

ติดต่อเราได้ที่

Website: MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

วิธีอินฟลูเอเนเซอร์ ให้เหมาะกับแต่ละแบรนด์

เลือกอินฟลูเอนเซอร์อย่างไรให้ตอบโจทย์

วิธีอินฟลูเอเนเซอร์ ให้เหมาะกับแต่ละแบรนด์

อินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวงการที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอิทธิพลต่อผู้ใช้งานในแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram โดยเฉพาะแอปพลิเคชันอย่าง TikTok ที่กำลังมาแรงมากๆ เกิดเป็นอาชีพเลยทีเดียว สาเหตุที่แบรนด์ต่างๆ เลือกที่จะจ้างเหล่าอินฟลู ก็เพื่อเพิ่ม Brand awareness ของสินค้าตนให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นรวมทั้งโปรโมชั่นต่างๆ ตัวอย่าง เช่น แบรนด์ Adidas ที่ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมากขึ้น พบว่าการใช้การตลาดแบบ Influencer นั้นประสบความสำเร็จถึง 70% ในแอปอินสตาแกรม เห็นได้ว่ากลยุทธ์ Influencer Marketing อาจมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคสนใจหรือซื้อสินค้ามากขึ้น หากยังไม่รู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้เลือกอินฟลูฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาคำตอบจากบทความนี้ได้เลย

วิธีเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้ตอบโจทย์

บางครั้งการจ้างอินฟลูเอนเซอร์อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ตั้งเป้าไว้ เพื่อให้เป้าหมายทางการตลาดประสบผลสำเร็จ ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการมองหาอินฟลูเอนเซอร์ มีดังนี้

1.ดูจาก location

หากคุณกำลังมองหาอินฟลูสำหรับโปรโมตด้านการท่องเที่ยวหรืออาหาร การส่องตาม location หรือ places ในแอปพลิเคชัน Instagram รวมทั้ง Facebook ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดี เพื่อดูว่ามีท่านไหนที่เช็คอินหรือแท็กสถานนี้นั้นแล้วได้รับความนิยมบ้าง มียอดผู้ติดตาม การมีส่วร่วม และไลฟ์สไตล์ตรงกับภาพลักษณ์แบรนด์หรือไม่

2. ส่องตาม Hashtag

นอกจากสถานที่แล้ว การส่อง Hashtag จะทำให้ทราบได้ว่าอินฟลูท่านนั้นเคยรับงานประเภทใด สินค้าตลาดเดียวกันกับที่ต้องการอยู่หรือเปล่า ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาผลิตภัณฑ์ได้ง่าย โดยเฉพาะแบรนด์เครื่องสำอางค์ที่ผลิตสินค้าหลายประเภท ผู้ใช่งานยังสามารถเห็นภาพสินค้า วิธีการใช้งาน สไตล์การ represent สินค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละท่าน เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมมากในการทำแคมเปญสินค้าใหม่อีกด้วย

3.กำหนดกลุ่มเป้าหมาย Demographics

ก่อนที่เริ่มต้นค้นหาอินฟลูฯ ให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ สถานที่ ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้หาอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามที่ใกล้เคียงกันกับกลุ่มเป้าหมายได้

4.กำหนดเป้าหมายการตลาด

พิจารณาเป้าหมายทางการตลาดของคุณสำหรับแต่ละแคมเปญ ว่ามีเป้าหมายแตกต่างกันอย่างไร เช่น ต้องการที่จะเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) กระตุ้นยอดขาย (Sales) หรือสร้างโอกาสในการขายให้กับกลุ่มใหม่ๆ หรือไม่? การมีเป้าหมายทางการตลาดจะช่วยให้หาอินฟลูฯ ที่ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุได้ชัดเจนมากขึ้น

5.เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะ

แม้จะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์เหมือนกัน เชื่อหรือไหมว่าในแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมในการดูเนื้อหาที่แตกต่างกันไป รวมถึง ช่วงอายุ ในการใช้ระยะเวลาบนแพลตฟอร์มนั้นๆ ฉะนั้น ควรทำความเข้าใจเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เพื่อเลือกแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Instagram, YouTube, TikTok หรือ Twitter ก่อนที่จะเลือกหาในเหล่าอินฟลูฯ  ให้ตรงตามความต้องการ

6.ใช้เครื่องมือช่วย

มองหาเครื่องมือหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเอเจนซี่ในการหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี โดยสามารถกำหนดได้ว่าคุณให้ความสนใจกับอะไรบ้าง เช่น จำนวนผู้ติดตาม (Followers) อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) คุณภาพเนื้อหา (Content Quality) และความสม่ำเสมอ (Consistency) ตัวอย่างเครื่องมือช่วยวิเคราะห์เมตริกประสิทธิภาพของอินฟลูฯ ได้แก่ Social Blade, BuzzSumo และ HypeAuditor

7.ประเมินการมีส่วนร่วมและการเข้าถึง

การเลือกวิธีใช้อินฟลูเอนเซอร์ ควรพิจารณาอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) แบ่งออกเป็น like, share, comment หรือ view ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวนผู้ชมที่ถูกวัดระดับการมีส่วนร่วมจากโพสต์ที่ผ่านมา เพื่อประเมินเบื้องต้นถึงผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดและกลุ่มเป้าหมายตามที่แบรนด์ต้องการ ตัวอย่างเช่น การใช้แมคโครอินฟลูเอนเซอร์อาจไม่ได้ผลดีเสมอไป เทียบกับไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตาม 10,000- 50,000 คน ไปจนถึงผู้ติดตามน้อยอย่างนาโน 1-10,000 คน อาจมีผู้ชมที่มีส่วนร่วมมากกว่าโดยเฉพาะ niche market

8.วิเคราะห์แนวเนื้อหา

เนื้อหาหรือแคปชั่นก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ แม้ว่าแบรนด์จะสามารถบรีฟหรือคิดเนื้อหาเองให้กับทางอินฟลูเอนเซอร์ แต่แต่ละแพลตฟอร์มก็มีอัลกอริทึ่ม (Algorithm) ไม่เหมือนกัน การที่เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าใจรูปแบบเนื้อหาที่ต้องผลิตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแพลตฟอร์มนั้นๆ หากอินฟลูฯ ท่านนั้นมีความสนใจสินค้าอย่างแท้จริงหรือเคยโปรโมตผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน มีผลให้ทำความเข้าใจหรือโปรโมตเนื้อหาที่สอดคล้องกับเทรนด์ ความต้องการ สื่อข้อความของแบรนด์ได้มากขึ้น และสะท้อนข้อความภาพลักษณ์แบรนด์ที่ถูกต้อง

9.ติดตามและวัดผล

ในระหว่างและหลังแคมเปญ ให้ติดตามประสิทธิภาพและวัดผลKPI เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ (traffic) คอนเวอร์ชั่น (conversion) การมีส่วนร่วม (engagement) และการกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Mentions) การวิเคราะห์ความสำเร็จของแคมเปญที่ผ่านมาจะช่วยปรับกระบวนการคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้ดียิ่งขึ้นสำหรับแคมเปญต่อไปในอนาคต

Influencer Marketing ที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบหลักๆ ตั้งแต่กระบวนการหาอินฟลูเอนเซอร์ กลุ่มเป้าหมาย เนื้อหา ไปจนถึงแพลตฟอร์มที่ต้องการให้โปรโมต สิ่งสำคัญคือต้องติดตามและวัดผลในแต่ละกิจกรรมที่ผ่านมาเพื่อคอยพัฒนาประสิทธิภาพของแคมเปญ Marketingguru ยินดีให้บริการด้าน Influencer Marketing ในการหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และวางแผนการตลาดเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

หากสนใจติดต่อเราได้ที่

Website: MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

 

 

MG-BLOG-AUG-2

รู้จัก Facebook Video Ads ทำโฆษณา Facebook

Facebook เป็น Social Media Platform ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย ด้วยการเป็นแหล่งรวบรวมของคอนเทนต์, เรื่องราว รวมถึงข่าวสารที่หลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้แพลตฟอร์มนี้ กลายเป็นแหล่งโซเชียลมีเดียประจำของใครหลายๆคน และด้วยเหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้นักการตลาดออนไลน์ นำช่องทางนี้ไปสร้างเป็นหนึ่งใน Online marketing คือการทำ Facebook Ads นั่นเอง

Facebook Ads หรือ โฆษณา Facebook นั้น มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ในบทความนี้ จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จัก และทำความเข้าใจกับ Facebook Video Ads หนึ่งในรูปแบบโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ง่ายเลยก็ว่าได้ค่ะ

Video Facebook Ads คืออะไร ?

Facebook Video Ads คือการสร้างโฆษณา Facebook ในรูปแบบของวิดีโอ ซึ่งได้รับความนิยมและผลตอบรับที่ดีมาก เมื่อเทียบกับการทำโฆษณาในรูปแบบอื่น ด้วยการสื่อสารที่ผ่านภาพเคลื่อนไหวและเสียง ทำให้ง่ายต่อการบริโภคของผู้ชม โดยสามารถทำได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ทั้งการเข้าถึง, การรับรู้, โปรโมตแคมเปญหรือโปรโมชัน รวมไปถึงสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากแบรนด์คู่แข่งด้วยเช่นกันค่ะ 

ประเภทของ Facebook Video Ads

  1. In-Stream Video ads

เป็นโฆษณา Facebook ที่คั่นระหว่างวิดีโอต่างๆ ซึ่งมีความยาว 60 วินาที โดย 15 วินาทีแรกนั้น ผู้ใช้งานไม่สามารถกดข้ามได้ แต่หลังจากนั้น จะเลือกได้ว่าต้องการดูต่อหรือกดข้าม เพื่อกลับไปดูวิดิโอที่เรากำลังรับชมก่อนหน้านี้

  1. Facebook Marketplace Video ads

เป็น Facebook Ads ที่ปรากฏอยู่ในหน้าของ Facebook Marketplace

  1. Facebook Stories ads

แบบโฆษณาแบบแนวตั้งและเต็มหน้าจอ จะปรากฏเมื่อเราดู Story ซึ่งมีความยาวประมาณ 15 วินาที แต่หากมีความยาวมากกว่านั้น จะเป็นการเล่นต่อเนื่องไปยังอีกหน้า Card ของ Story นั้นๆ

  1. Facebook Video Feed ads

รูปแบบนี้จะอยู่บนหน้าฟีดของ  Facebook Video Feed เมื่อเราเลื่อนดูวิดีโอไปเรื่อยๆ จะปราฏโฆษณารูปแบบนี้แทรกขึ้นมาระหว่าง Organic Video

ส่วนประกอบของ Facebook Video Ads

โดยในส่วนนี้นั้น จะขออธิบาย โดยใช้ตัวอย่างจาก Video Facebook Ads ของ Blackmore

  1. Account Link 

ชื่อแบรนด์ที่ผู้ใข้งานสามารถคลิกเพื่อไปยังหน้าเพจได้ ซึ่งด้านใต้ชื่อเพจ จะแสดงคำว่า Sponsor ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่านี่คือ Facebook ads

  • Primary Text 

แคปชันหรือ Copy Writing ที่อธิบายเกี่ยวกับโฆษณานั้นๆ หากไม่ต้องการให้แสดง ‘อ่านเพิ่มเติม / Read more’ จะต้องมีความยาวไม่เกิน 125 ตัวอักษร

  • Video View

Video Display โดยจะเริ่มเล่นอัตโนมัติ อาจจะเป็นการเปิดเสียงแบบอัตโนมัติ หรือแค่แสดงรูปภาพแล้วผู้ใช้งานสามารถกด Play เพื่อเริ่มเล่นก็ได้เหมือนกันค่ะ

  • Headline

เป็นหัวข้อโฆษณา Facebook ซึ่งจะต้องมีความยาวไม่เกิน 40 ตัวอักษร เพื่อให้แสดงได้ครบแบบที่คำไม่ตกหล่น

  • ปุ่ม Call-to-action

เป็นปุ่มที่ผู้ชมสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพื่มเติม, ซื้อสินค้า, ทักข้อความ หรืออื่นๆที่แบรนด์กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้เราทราบ Conversion Rate ว่ามีผลเป็นอย่างไร จากการกดเข้ามาของผู้ชม

ข้อกำหนดในการทำ Facebook Video Ads

  • ต้องเป็นไฟล์ประเภท MP4, MOV หรือ GIF
  • โฆษณาประเภท In-Feed Ads ควรใช้สัดส่วน 4:5 เพื่อแสดงได้แบบเต็มจอ
  • ความยาววิดีโอ มีได้ตั้งแต่ 1 วินาที – 240 นาที (สำหรับ In-Feed Ads)
  • ทุกรูปแบบควรมีขนาดไฟล์ไม่เกิน 4GB
  • Minimum Resolution ไม่ควรต่ำกว่า 1080×1080 px

 

เคล็ดลับการทำ Video Facebook Ads 

1.สร้างโฆษณา Facebook ให้เข้าใจ แม้จะไม่มีเสียงประกอบ 

จากสถิติ Facebook เผยว่า 80% ของผู้ใช้งานไม่นิยมวิดีโอที่เปิดเสียงอัตโนมัติ ดังนั้น Facebook จึงได้พัฒนาการเล่น  Facebook Video Ads แบบปิดเสียง และสามารถกดเปิดเสียงได้ หากผู้ชมต้องการ

นอกจากนี้ หากวิดีโอนั้น มีการเพิ่ม Subtitle จะช่วยเพิ่มการเข้าชมได้นานถึง 12%

2.เรียกความสนใจภายใน 3 วินาที

คอนเทนต์ที่น่าสนใจ จะไม่ทำให้เกิดการเลื่อนผ่าน ซึ่งหากผู้ชมกวาดสายตาดูในช่วง 3 วินาทีแรก แล้วอยากดูต่อ จะสามารถเพิ่มโอกาสในการขายได้ ดังนั้น ควรแทรกจุดขาย, Highlight หรือสิ่งที่ต้องการนำเสนอให้ได้ภายในช่วงแรก

และจากสถิติ Facebook 33% ของผู้ชมจะหยุดดูวิดีโอจากแบรนด์ที่ตนชอบ การสร้างคอนเทนต์ที่ทำให้ผู้ชมเห็นแบรนด์ของเรา จะช่วยเพิ่ม Engagement ได้อีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน

3.คำนึงถึง Mobile Friendly 

ผู้ชมส่วนใหญ่นิยมใช้มือถือมากกว่า ดังนั้นในการออกแบบ Video ทั้งสัดส่วนและการแสดงของแคปชัน ควรคำนึงถึงการปรากฏในอุปกรณ์มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์

4.Retarget ผู้ใข้งานที่เคยดูวิดิโอ

เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของผู้ที่เคยซื้อหรือเป็นลูกค้าของแบรนด์อยู่แล้ว โดยใช้โฆษณา Facebook เพื่อสร้างการซื้อซ้ำ จากกลุ่มลูกค้าเดิม ถือเป็นการรักษาฐานลูกค้าด้วยค่ะ

5.สร้าง Poll บนโฆษณา

สร้าง  poll เพื่อให้ผู้ใข้งานสามารถแสดงความเห็นในรูปแบบของสติ๊กเกอร์ ซึ่งทาง Instagram Storie ก็สามารถทำได้เช่นกัน 

ขอบคุณที่มา: Adepresso & stepstraining.co

Facebook Video Ads ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบโฆษณา Facebook ที่อยากจะแนะนำเหล่าร้านค้าออนไลน์ และธุรกิจที่มีช่องทางการตลาดออนไลน์ได้ลองทำค่ะ ด้วยการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่ง่าย และได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชม และหากเรารู้ถึงวิธีในการทำ รับรองว่า Chat ร้อนแรงดัง Fire เลยล่ะค่ะ 

หรือใครที่กำลังมองหา Digital marketing agency เพื่อดูแลการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจตนเอง อย่าลืมนึกถึง MarketingGuru นะคะ พร้อมให้บริการการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ตอบโจทย์ทุกรูปแบบธุรกิจอย่างแน่นอนค่ะ 

🧡 ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษา ฟรี! 🧡

👉🏻 Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

👉🏻 โทร 02-381-9045

👉🏻 Line คลิก > https://page.line.me/marketingguru

หรือแอด Line : @marketingguru

👉🏻 E-mail: contact@marketingguru.io

MG-Blog 01

การตลาดออนไลน์ธุรกิจยุคใหม่ ในช่วง Covid 19

เชื่อว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 แบบนี้นั้น หลากหลายธุรกิจต่างก็ได้รับผลกระทบทั้ง บางธุรกิจอาจส่งผลต่อกำไรที่ลดน้อยลง ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น นั้น ซึ่งผลที่ร้ายแรงที่สุดคือการปิดตัวของธุรกิจนั่นเอง

แต่.. ไม่ใช่ว่า ในสถานการณ์แบบนี้จะไม่มีวิธีแก้หรือวิธีปรับตัวหรอกนะ อย่าลืมสิคะว่าโรคมันแพร่ระบาดในออฟไลน์ ที่ส่งผลกระทบต่อกำไรและค่าใช้จ่ายหน้าร้าน แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับโลกออนไลน์เลยนะ แถมยังกลายเป็นช่องทางที่ทุกๆธุรกิจหันมาจับตามองเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ที่พูดถึงนี้ คือการทำธุรกิจ โดยใช้การตลาดออนไลน์นั่นเองค่ะ เน้นการขายทางโลก Social ไม่ต้องเจอหรือรอให้ลูกค้าเข้ามาดูสินค้าจริงหน้าร้าน ทำให้วิธีนั้น กลายเป็นวิธีการขายที่เมื่อก่อนว่าได้รับความนิยมเท่าไร ตอนนี้กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

แล้วเราจะทำธุรกิจ โดยใช้การตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing ในยุคของ Covid-19 ยังไง วันนี้ MarketingGuru มีวิธีมาแชร์กันค่ะ

  1. เปลี่ยนจากขายหน้าร้าน เป็นขายออนไลน์

วิธีนี้ เป็นวิธีที่หลายๆคนเริ่มคิดจะทำกันเป็นอันดับแรก ซึ่งการทำการตลาดออนไลน์ สามารถเริ่มต้นได้โดยการทำโฆษณา ที่ช่วยในการปรับลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น 

ยกตัวอย่างเช่น หากเมื่อก่อน ทำการขายหน้าร้าน จะต้องทำการโฆษณาด้วยการพรินต์สื่อประเภทกระดาษออกมาประชาสัมพันธ์ หรือบางธุรกิจใช้การดึงลูกค้าจากการจัดกิจกรรม (Event Marketing) ก็เปลี่ยนเป็นการทำภาพ Artwork Graphic สวยๆ โพสต์ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ธุรกิจมองว่าเป็นช่องทาง Online Marketing หลัก เช่น Facebook, Instagram, Twitter, Youtube หรือแม้แต่เว็บไซต์เองก็ตาม 

  1. ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เมื่อเราใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ในการขายเป็นหลัก ก่อนที่จะทำการขายนั้น อาจจะต้องศึกษาว่ารูปแบบธุรกิจของเรา มีแนวโน้มความสนใจจากลูกค้าอย่างไร เพื่อนำแนวทางดังกล่าว มาพิจารณาเป็นกลยุทธ์ในการวางแผน Online Marketing เช่น หากเป็นธุรกิจอาหาร อาจจะมีบริการสั่งผ่านระบบออนไลน์ หรือเข้าร่วมกับกลุ่ม Partner ด้านเดลิเวอรี่ต่างๆ แล้วจัดส่งบริการถึงที่ อาจจะมีการเพิ่มโปรโมชันเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามามากยิ่งขึ้นนั่นเอง

  1. ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับธุรกิจ

เมื่อเราทราบถึงพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว เราสามารถนำข้อมูลส่วนนั้นมาวิเคราะห์เป็นแผนหรือกลยุทธ์ในการทำธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

  • ช่องทางการตลาดออนไลน์ในการโฆษณาหลัก

โดยส่วนนี้นั้น ทำการวิเคราะห์จากพฤติกรรมผู้บริโภคของรูปแบบธุรกิจนั้นเป็นหลัก ว่านิยมใช้ช่องทางไหนในการสั่งซื้อ แล้วลองนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตน

จำไว้ว่า Content is King คือเราจะสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจและตัดสินใจซื้อผ่านสื่อออนไลน์อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ธุรกิจต้องศึกษาอีกเช่นกัน ในช่วงแรกอาจจะลองผิดลองถูกไปบ้าง แต่เมื่อเจอจุดที่ถูกต้อง รับรองว่าการทำการตลาดออนไลน์จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในส่วนนี้ต้องบอกว่า ในแต่ละช่องทางการตลาดออนไลน์ก็มีโฆษณาที่แตกต่างกันออกไป หากแต่ละธุรกิจทำการศึกษาพร้อมวิเคราะห์มาอย่างดีนั้น แน่นอนว่าการโฆษณาย่อมเห็นผลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย, กำหนดประเภทของโฆษณา (ร่วมกับคอนเทนต์) และรวมไปถึงการกำหนดงบประมาณของแต่ละแคมเปญด้วยเช่นกัน

  • การประชาสัมพันธ์

หากเป็นขายหน้าร้านแบบเมื่อก่อน อาจจะมีการทำผ่านสื่อในรูปแบบออฟไลน์ เช่น รูปแบบกระดาษต่างๆ หรือทำป้ายใหญ่ๆ เด่นๆ เพื่อดึงดูดสายตาจากผู้คนในสถานที่ต่างๆ เมื่ออยู่ในรูปแบบของ Online Marketing นั้น อาจทำได้โดยการนำคอนเทนต์หรือโฆษณานั้นๆไปประชาสัมพันธ์ในกลุ่มปิดที่มีความสนใจเฉพาะ หรือโฆษณาผ่านเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้มีผู้คนเข้าถึงสินค้าของธุรกิจได้มากขึ้น

การใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการปรับตัวของธุรกิจให้อยู่รอดบนยุคของ Covid-19 ด้วยช่องทางการขายที่เปลี่ยนไป ทำให้กลยุทธ์และการวางแผนต่างๆต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เมื่อเรามีเทคโนโลยีอยู่ในมือ เราก็ต้องเอาออกมาใช้นะคะทุกคน ให้ Covid-19 มีอิทธิพลกับการใช้ชีวิต แต่อย่าให้มันส่งผลกับธุรกิจค่ะ สู้ๆ!

หรือถ้าใครมองว่าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่อยากลองผิดลองถูกในการทำการตลาดออนไลน์ และอยากมี Digital Marketing Agency ไว้เป็นพาร์ทเนอร์คู่ใจ ติดต่อ marketingGuru ได้นะค้า ^^

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

Line: @marketingguru

E-mail: contact@marketingguru.io

MG-Blog-April-7

ทำการตลาดออนไลน์ ต้องปล่อยโปรโมชัน 3 เวลานี้

การทำการตลาดออนไลน์หรือ Online Marketing สิ่งที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้ คงหนีไม่พ้นการสร้างโปรโมชัน ซึ่งปัญหาของเหล่านักการตลาดออนไลน์ที่ทำโปรโมชัน คือมักจะมีแค่ช่วงเวลาปล่อยโปร กล่าวคือไม่ได้มีช่วงอื่นของโปรโมชันเลย ซึ่งจริงๆแล้ว การมีช่วงเวลานี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้ทำรายได้ได้ดีเท่าที่ควร เพราะลูกค้าหลายๆคนไม่ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะจ่ายเงินในวันและเวลานั้นได้อย่างทันที 

ซึ่งหากอยากทำการตลาดออนไลน์ ด้วยการปล่อยโปรโมชันนั้น ควรมีมากกว่าช่วงเวลาปล่อยโปร โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาดังต่อไปนี้

  1. ช่วง PR ให้ลูกค้าเตรียมตัว

ไม่ว่าจะเป็นการประกาศบอกให้กลุ่มเป้าหมายได้เตรียมสั่งจอง เตรียมกดสินค้าใส่ตะกร้า หรือเตรียมกดส่วนลด ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ช่วงนี้ถือเป็นช่วงสำคัญ เพราะถือเป็นการประกาศบอกให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ ว่าเรามีโปรโมชันวันไหน ช่วงเวลาไหน

ซึ่งหากเราไม่มีช่วงนี้ แล้วข้ามไปช่วงปล่อยโปรโมชันเลย จะได้ผลน้อยกว่า เพราะไม่ใช่ลูกค้าทุกคน ที่จะเห็นโปรแล้วพร้อมโอนในตอนนั้น

ช่วงนี้กลุ่มนักการตลาดออนไลน์ ควรคาดหวังยอดจอง หรือยอดกดสินค้าลงตะกร้ามากกว่ายอดสั่งซื้อ เพราะหากมียอดจองมากเท่าไหร่ ทำให้เห็นว่าการประชาสัมพันธ์ของเราดีมากเท่านั้น ถือว่าเราทำ Online Marketing ประสบผลสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

หรือหากธุรกิจไหน มองว่าการทำ PR แบบ Organic Post ไม่เพียงพอต่อการรับรู้ ก็สามารถใช้การโฆษณาได้ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ให้กว้างขึ้น และสร้างการประชาสัมพันธ์แบบ Online Marketing ในวงกว้างมากขึ้นเช่นกัน

  1. ช่วงเวลาโปรโมชันที่กระชับ

ช่วงโปรโมชันไม่ควรยาวเกินไป เราสามารถจำกัดช่วงโปรโมชันแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังได้ รวมถึงข้อเสนอเองก็มีความสำคัญ เช่น มีจำนวนจำกัด ตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลานี้เท่านั้น

การที่เรามีช่วง PR ให้ลูกค้าเตรียมตัวไปแล้ว ทำให้ช่วงนี้ ลูกค้าแค่ทำการกดยืนยัน แล้วจ่ายเงินได้เลย เพราะมีการจองหรือกดสินค้าใส่ตะกร้าไว้แล้วนั่นเอง

  1. ช่วงเก็บตก ให้ผู้ที่นกโปรโมชัน

ช่วงนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ต่อให้เราจะมีช่วง PR ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ทุกคนสนใจซื้อสินค้าทันในช่วงนั้น เราควรมีข้อเสนอดีๆ รองรับคนที่พลาดโปรโมชันไว้ในช่วงเก็บตก อาจจะไม่ใช่เป็นโปรใหญ่เท่ากับช่วงโปรโมชัน แต่ก็เป็นข้อเสนอที่ดีรองลงมา ถือเป็นการทำการตลาดออนไลน์ในอีกรูปแบบหนึ่ง

การทำโปรโมชันทั้ง 3 ช่วงนี้ ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ได้ผลลัพธ์มากกว่าการมีช่วงปล่อยโปรโมชันเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะนอกจากลูกค้าจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามีโปรโมชันตอนไหน เรายังทำรายได้จากลูกค้าที่ไม่ทันช่วงโปรโมชันได้อีกด้วย

การทำโปรโมชัน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของการตลาดออนไลน์ แต่ถ้าอยากได้ที่ปรึกษาวางแผน Online marketing ข้างกาย Say hi มาหา MarketingGuru ได้นะคะ 😁

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

… ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาด้าน Digital Marketingได้ ฟรี! …

#DigitalMarketing #การตลาดออนไลน์ #MarketingGuru

MG-Blog-April-1

PPC หรือ SEO จะทำ Online marketing แบบไหน

PPC หรือ SEO จะทำ Online marketing แบบไหน

สำหรับวงการ Online marketing หรือเหล่า Digital marketing agency ที่รับทำการตลาดออนไลน์ คงจะคุ้นหูกับ PPC และ SEO กันเป็นอย่างดี แต่เคยไหม ? ที่อยู่ๆก็มีคำถามว่าระหว่าง PPC และ SEO เราจะเลือกใช้อะไรกันดีนะ ? แล้วธุรกิจแบบไหนควรใช้อะไร ? คำถามนี้จะหมดไป เพียงแค่คุณอ่านบทความนี้

ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับทั้ง PPC และ SEO หนึ่งในช่องทางของ Online marketing กันก่อนดีกว่า

 

PPC (Pay Per Click) คือการทำ Online marketing หรือโฆษณาบนหน้า Search engine โดยจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อมีการค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาเราเท่านั้น และจะมีการเสียเงินเมื่อมีการกดคลิกเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ (Landing page) เท่านั้น เราสามารถกำหนดราคาต่อคลิกได้เอง  ทำให้โฆษณาของเราขึ้นหน้าแรกของ Google ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้เงินในการลงทุนนะ

SEO (Search engine optimization) คือการทำ Online marketing ให้ Content ใน Landing page ติดอันดับของ Google เมื่อมีการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ของเรา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แต่ใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Keyword ที่ต้องการด้วย ว่ามีคู่แข่งขันในวงการเดียวกันสูงหรือไม่ และมี Search volume เท่าไหร่เช่นกัน  โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

SEO On Page: คือการนำเนื้อหา รูปภาพ หรือปุ่มต่างๆในเว็บไซต์ มาทำให้เกิดการเชื่อมต่อกับ Keyword หรือ ทำให้เกิดการกระทำบางอย่างกับเว็บไซต์มากขึ้น 

SEO Off Page: การนำเว็บไซต์ ไปโปรโมต หรือฝังลิงก์ในเว็บไซต์อื่น เพื่อให้เกิดการคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของเรา 

การทำ Online marketing ด้วย SEO ไม่ได้วัดแค่ความเกี่ยวข้องของ Keyword กับ Landing page เท่านั้นนะ แต่ยังวัดไปถึงคุณภาพของเว็บไซต์ เช่นอัตราความเร็วการโหลดในหน้านั้นๆ, ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ว่าเปิดใช้งานมาเป็นเวลานานแค่ไหน รวมถึงคุณภาพของคอนเทนต์ในหน้านั้นๆ ว่านอกจากจะต้องมี Keyword ที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างอื่นก็สำคัญ เช่น การจัดภาพรวมหน้านั้นๆเอื้ออำนวยต่อ User แบบ Mobile firiendly หรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจัดลำดับ Ranking SEO ของ Google ก็มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ไปเรื่อยๆอีกเช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่เป็นสาย Digital marketing agency หรือรับทำการตลาดออนไลน์ ต้องอย่าพลาดการ Update อยู่เรื่อยๆเลยล่ะ

แล้วควรเลือกทำ Online marketing ด้วย PPC หรือ SEO ดี ?

จากการเปรียบเทียบภาพดังกล่าว จะเห็นว่าความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน เอาง่ายๆเลย ถ้าอยากทำ Online marketing โดยให้คอนเทนต์ของเรามีอยู่ในหน้าแรกของ Google อย่างรวดเร็ว ก็ใช้การทำโฆษณาแบบ PPC (แต่ต้องลงทุนเรื่องเงินกันหน่อยนะ) แต่ต้องยอมรับนะ ว่าเมื่อเราทำ PPC หากเรากดค้นหาอีกครั้ง โฆษณาของเราอาจจะหายไปแล้วก็ได้ ส่วน SEO คือการทำคอนเทนต์ให้ติดอันดับของ Google ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่ต้องใช้เวลาและเทคนิคมากมาย และจะคงอยู่ติดลำดับได้นาน จนกว่าคอนเทนต์จากเว็บอื่นจะแซงอันดับ และหากคอนเทนต์เราติด จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาผ่าน PPC นั่นเอง 

ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว จะเลือกทำ Online marketing แบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องกำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจนเสียก่อน แล้วจึงค่อยเลือกช่องทางและวิธีการทำ Online marketing ของธุรกิจนั้นๆ

หรือหากใครที่อยากหา Digital agency marketing ที่รับทำการตลาดออนไลน์ มาดูแลเรื่อง Online marketing ทั้ง PPC, SEO รวมถึงรูปแบบอื่นๆ สามารถปรึกษาหรือสอบถาม MarketingGuru ได้เลยค่ะ

 

🧡 ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษา ฟรี! 🧡

👉🏻 Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

👉🏻 โทร 02-381-9045

👉🏻 Line คลิก > https://page.line.me/marketingguru

หรือแอด Line : @marketingguru

👉🏻 E-mail: contact@marketingguru.io

Social media marketing ไม่ได้มีแค่ Facebook ads

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าโลกของอินเทอร์เน็ตไปไกลมาก จากที่เมื่อก่อนมีแค่การพูดคุยสื่อสารที่สะดวกขึ้น แต่ตอนนี้นั้นถือเป็นช่องทางการทำเงินของหลายๆคนไปแล้ว ซึ่งเรียกกันในคำทางการว่า Social media marketing หรือที่หลายๆคนเข้าใจกันในคำว่า ‘การตลาดออนไลน์’ นั่นเอง 

จริงๆแล้วคำว่า Social media marketing นี่คืออะไรกันนะ ?

Social media marketing คือทำการตลาดออนไลน์ (Online marketing) บน Social media นั่นเอง ซึ่งทำได้ทั้งการโพสต์ขายแบบตรงๆทั้งในรูปแบบของภาพ ข้อความ และวิดีโอ หรือการเสียเงินสร้างโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงคนได้ง่าย เรียกได้ว่าแทบจะ 24 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ เพราะในปัจจุบัน การใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสูงกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้การตลาดในรูปแบบนี้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของหลายๆคน เช่น วัยทำงานที่ทุ่มทุกอย่างให้กับงาน จนแทบไม่มีเวลาซื้อนั่นนี่ การซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์ จึงเป็นสิ่งที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้ ยิ่งมีโฆษณาเข้ามา ยิ่งทำให้การซื้อนั่นง่ายกว่าเดิมไปอีก เพราะไม่จำเป็นต้องค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการเอง แต่เข้าถึงจากโฆษณาได้เลย

แล้ว Social media marketing นี่มีอะไรบ้างล่ะ ?

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการตลาดออนไลน์แล้ว ช่องทางแรกๆที่หลายๆคนมักนึกถึงคือ Facebook ads หรือการยิงโฆษณาบนเฟซบุ๊ก เพราะเป็นอะไรที่พบเห็นบ่อยที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Social media marketing จะมีแค่ Facebook ads หรอกนะ อย่าลืมว่าบนโลกออนไลน์มันกว้างมากกกก และมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่พลิกทุกอย่างให้เป็นโอกาสได้อยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทุกวันนี้นั้น ช่องทางการตลาดออนไลน์ Social media marketing ถึงได้ผุดงอกขึ้นมามากมาย จนเรียกได้ว่าหากเข้าโซเชียลเมื่อไร เราจะเห็นการโฆษณาผ่านทุกช่องทางไปแล้ว เพราะมันเข้าถึงคนได้ง่ายมากนั่นเอง

สรุป Social media marketing นี่แยกย่อยสาขาได้เป็นอะไรกันแน่ ?

ต้องบอกว่าการตลาดออนไลน์นั้นแทรกอยู่ในทุก platform เลยล่ะ จึงทำให้ Social media markeing มีด้วยกันหลากหลายช่องทาง ยกตัวอย่างเช่น

  1. Facebook ads ช่องทางที่หลายคนคุ้นเคย เพราะเข้าถึงได้ง่ายสุดจากแอปฯสุด mass อย่างเฟซบุ๊ก และเรียกได้ว่าเป็นการโฆษณาที่ตามหลอกหลอนได้เยอะที่สุดเช่นกัน
  2. Instagram ads เคยเห็นพวก sponsor ตาม story ig หรือ ig post กันไหม? นั่นล่ะช่องทางทำกินทาง Instagram และปัจจุบัน ที่ Instagram เพิ่มฟีเจอร์อย่าง Instagram Reels ซึ่งเป็นสื่อประเภท VDO สั้น (คล้ายกับ Tik Tok) ทำให้เราอาจจะเห็นการโฆษณาจากฟีเจอร์ประเภทนี้อีกเช่นกัน 
  3. Line ads ทั้งในรูปแบบของการเปิด Line official account, การทำ line broadcast และการทำโฆษณาผ่าน Line today รวมถึงการขายของออนไลน์ผ่าน Line My shop ด้วยเช่นกัน 
  4. Twitter ads ก็คือการทวิตขายตรงๆ ติด Hashtag (#) ให้ผู้คนจดจำ ซึ่งเป็นช่องทางในการจับการตลาดแบบให้ทันกระแสและติดเทรนด์ได้รวดเร็วที่สุด
  5. Youtube ads VDO Platform ที่ใหญ่ที่สุดในโลกออนไลน์ ด้วยความนิยมนี้เอง ทำให้โฆษณาประเภท VDO ถูกเลือกใช้งานใน Platform นี้เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งแบบที่สามารถกดข้ามได้  และแบบที่บังคับให้ผู้ใช้งานดูจนจบ
  6. Tiktok ads อีกหนึ่ง platform ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ เป็นการโฆษณาผ่าน VDO ที่จะแทรกเข้ามาเองในขณะที่คุณเปิดแอปฯนั่นเอง 
  7. LinkedIn Ads ชื่อนี้หลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้น ซึ่งเป็นช่องทางในการทำการโฆษณาของธุรกิจแบบ B2B ซะมากกว่า เนื่องจากเป็น Platform ที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมากนัก

สรุปกันเลยแล้วกัน ว่า Social media marketing (SMM) ไม่ได้มีแค่การยิงแอดบนเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่อยู่ในทุกช่องทางของ Social media เลยก็ว่าได้ ส่วนใครจะทำแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายอีกนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นธุรกิจที่ต้องการเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนทั่วไป คงต้องเลือกเป็น Facebook ads หรือช่องทางอื่นๆที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่เจาะลึกไปกว่านั้น เช่น หากต้องการขายสินค้าให้กับกลุ่มที่รักการถ่ายรูป การทำโฆษณาลงใน Instagram อาจจะตอบโจทย์มากกว่า หรือถ้าเป็นธุรกิจที่เน้นแบบ B2B การทำ Linkedln Ads อาจจะเหมาะสมมากกว่านั่นเอง

 

หรือหากใครและองค์กรไหน ต้องการให้ Digital marketing Agency ให้คำปรึกษา ดูแลรวมถึงเข้ามาจัดการเรื่อง Social media marketing MarketingGuru พร้อมให้บริการอย่างครบวงจรเช่นกันค่ะ 

 

สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาจาก MarketingGuru ได้ฟรี

คลิก m.me/marketingguru.io  หรือโทร 02-381-9045